You are currently viewing 4 DATA Insight ที่ควรรู้ ลดค่าโฆษณา ประหยัดต้นทุนการตลาด

4 DATA Insight ที่ควรรู้ ลดค่าโฆษณา ประหยัดต้นทุนการตลาด

“ถ้ายังไม่รู้ DATA พวกนี้อย่าเพิ่งบ่นว่าขายไม่ดี” คำกล่าวนี้อาจเป็นเรื่องจริงในปีนี้ 2025 ท่ามกลางการแข่งขันดุเดือดที่ทุกแบรนด์ต่างลดราคาสู้ ขายสินค้าเหมือนกัน ออกสินค้าใหม่พร้อมกันก็จริง แต่กลับมีหนึ่งอย่างที่คนมักมองข้ามและจะทำให้คุณชนะได้นั่นก็คือ การเข้าใจและใช้ประโยชน์จาก Data หรือข้อมูลเชิงลึกของแบรนด์ที่มีอยู่ในมือ

Data Marketing จึงกลายเป็นอาวุธสำคัญระดับ S+ ที่หลายธุรกิจให้ความสำคัญในปีนี้อย่างมากแน่นอน เพราะนี่ไม่ใช่แค่การดูเพียงยอดขาย แต่เป็นการวิเคราะห์พฤติกรรมลูกค้า ทิศทางตลาด และการวางกลยุทธ์แบบแม่นยำ เพื่อหาวิธีลดต้นทุนการตลาดให้ได้มากที่สุด วันนี้จะพาคุณไปรู้จัก “4 Data สำคัญ” ที่ควรรู้เพื่อเป็นไอเดียตัวอย่างให้คุณสามารถนำไปคิดต่อยอดธุรกิจได้

1. Inventory Insights: รู้ลึกข้อมูลสต๊อก วางแผนธุรกิจแม่นยำ

Inventory Insights คือ การจัดการข้อมูลสินค้าคงคลังให้เป็นระบบ โดยมีข้อมูลสำคัญหลายอย่างที่จำเป็นสำหรับเจ้าของแบรนด์/ธุรกิจที่ควรรู้ เช่น ข้อมูลจำพวกอัตราการหมุนเวียนสินค้า สินค้าที่ขายช้า/ค้างสต๊อก สินค้าชำรุดหรือมีปัญหา 

ถือเป็นวิธีลดต้นทุนการตลาดอย่างหนึ่ง ซึ่งสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงและสร้างเงินให้ธุรกิจของคุณกลับมาได้ หลายธุรกิจมักมองข้ามสิ่งนี้และใส่ใจกับ “ข้อมูลยอดขาย” เพียงอย่างเดียว จนลืมไปว่าข้อมูลสต๊อกและคงคลังนั้น สำคัญเป็นอันดับต้น ๆ ของธุรกิจเลยทีเดียว

ข้อดี
– ช่วยบริหารสต๊อกสินค้าได้เป็นระบบมากขึ้น 
– เมื่อรู้สถานะสต๊อกที่แท้จริง คุณสามารถนำข้อมูลไปวิเคราะห์ต่อยอด ลดความเสี่ยงจากการมีเงินทุนจมอยู่กับสินค้าที่ขายไม่ออก 
– ช่วยลดต้นทุนในการจัดเก็บสินค้าได้อีกด้วย ทำให้คุณสามารถวางแผนระบายสินค้าได้ทันท่วงที 
– ช่วยป้องกันปัญหาสินค้าขาดมือ เติมสินค้าได้ทันต่อความต้องการของลูกค้า ไม่เสียโอกาสในการขายแม้สักวินาที 

ผลลัพธ์ที่ได้ → การวางแผนภาพรวมสินค้าที่แม่นยำและมีประสิทธิภาพ จะส่งผลโดยตรงต่อการเติบโตของธุรกิจในระยะยาว

2. Sales Data: ข้อมูลยอดขาย

การเก็บข้อมูล Sales Data ไม่ได้บอกแค่ตัวเลขยอดขายเพียงอย่างเดียว แต่ยังทำให้คุณเห็นภาพรวมที่ชัดเจนว่าสินค้าไหนขายดี สินค้าไหนต้องปรับปรุง ช่วงเวลาไหนที่ยอดขายพุ่งสูงสุด และช่องทางการขายใดที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด

ข้อดี

– ช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมซื้อของลูกค้าตนเองได้อย่างลึกซึ้ง
– ต่อยอดไอเดียพร้อมพัฒนากลยุทธ์ Personalized Marketing ได้ รู้ว่าลูกค้าคนไหนชอบ/ไม่ชอบอะไร ซื้อสินค้าช่วงไหนถี่ ๆ
– ออกโปรโมชันได้ตรงใจ ตอบโจทย์ทั้งลูกค้าเก่า-ลูกค้าใหม่
– กระชับความสัมพันธ์กับลูกค้า สร้าง CRM ที่แข็งแกร่ง
วางแผนบริหารสต๊อกสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาด

ผลลัพธ์ที่ได้ → การติดตามและวิเคราะห์ข้อมูลยอดขายอย่างต่อเนื่อง เป็นการสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันที่แท้จริง และช่วยให้แบรนด์/ธุรกิจมีวิธีลดต้นทุนการตลาดได้

3. Customer Feedback: เสียงรีวิวจากลูกค้า

อย่าเอาแต่คิดไปเองว่า “สินค้าเราดี ลูกค้าชอบ” แต่ควรฟังเสียงและความคิดเห็นของลูกค้าจริง ๆ มากกว่า ซึ่งวิธีนี้ถือเป็นหนึ่งในวิธีลดต้นทุนการตลาดที่ดีที่สุดข้อหนึ่ง แทนที่คุณจะจ่ายงบประมาณมหาศาลไปกับการลองผิดลองถูก คุณสามารถเรียนรู้โดยตรงจากเสียงฟีดแบ็กของผู้ใช้จริง เพราะการออกสินค้าเอาใจลูกค้าแต่ท้ายที่สุดพวกเขาไม่ชอบ ก็เหมือนเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์

การฟังเสียงลูกค้า เป็นสิ่งที่เริ่มต้นได้ง่ายมาก เพราะคุณสามารถเห็นมันได้ทุกที่ ไม่ว่าจะเป็นรีวิวบนเว็บไซต์ เรตติ้งและคอมเมนต์ หรือการพูดถึงแบรนด์บนโซเชียลมีเดีย ทุกอย่างล้วนเป็นข้อมูลล้ำค่าที่ช่วยลดค่าโฆษณาและต้นทุนการทำการตลาดได้ เพราะคุณจะรู้ว่าควรปรับปรุงหรือพัฒนาสินค้าและบริการในทิศทางใดเพื่อตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริง

ข้อดีของการฟังเสียงลูกค้า

– รีวิวและความคิดเห็น ช่วยคุณได้ไอเดียปรับปรุงสินค้าและบริการ โดยไม่ต้องลงทุนทำวิจัยตลาดที่มีค่าใช้จ่ายสูง
– ข้อร้องเรียนของลูกค้าเป็นโอกาสทองในการปรับปรุงจุดอ่อนและป้องกันปัญหาที่อาจเกิดซ้ำ นอกจากช่วยประหยัดต้นทุนแล้ว ยังแก้ไขปัญหาในระยะยาวได้ด้วย
– คำชมและความประทับใจจากลูกค้าคือจุดแข็งที่นำมาต่อยอดในการทำการตลาด สร้าง Word of Mouth ที่แข็งแกร่งได้

ผลลัพธ์ที่ได้ →  เพราะเสียงสะท้อนจากลูกค้าคือข้อมูลที่มีค่าที่สุดในการพัฒนาธุรกิจให้ตรงใจผู้บริโภคอย่างแท้จริง อย่าลืมเก็บ Data ส่วนนี้กันไว้นะคะ

4. Market Intelligence: วิเคราะห์ตลาดเพื่อลดต้นทุนการตลาด

การวิเคราะห์ข้อมูลตลาดอย่างเป็นระบบผ่าน Market Intelligence เป็นอีกหนึ่งในวิธีลดต้นทุนการตลาดที่มีคุณค่ามากที่สุดอย่างหนึ่ง เพราะจะช่วยให้คุณเข้าใจทั้งจุดแข็งและจุดอ่อนของคู่แข่ง ตั้งแต่กลยุทธ์ด้านราคา ช่องทางการจำหน่าย ไปจนถึงการทำคอนเทนต์และแคมเปญการตลาด ดังสำนวนที่ว่า “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”

ข้อดี
– จับสัญญาณคู่แข่ง เทรนด์ ความต้องการใหม่ ๆ จะได้เป็นเจ้าที่ยืนหนึ่งในตลาด 
– พัฒนาสินค้าให้ดีกว่า เพราะรู้จุดแข็งและความต้องการของกลุ่มเป้าหมายอย่างแท้จริงผ่านการเก็บข้อมูลมาอย่างดี 
– คาดการณ์โอกาสจากทิศทางธุรกิจที่วิเคราะห์วางแผนเพื่อการเติบโตของแบรนด์ได้ 

ซึ่งในบางครั้งการเก็บข้อมูล Market Intelligence ก็อาจใช้เวลานานกับการรีเสิร์ชตลาด ดังนั้นการใช้เครื่องมือทางการตลาดอย่าง Google Trends, Social Listening Tools หรือ Market Research Reports เข้ามาช่วย จะทำให้คุณจับสัญญาณความเคลื่อนไหวของตลาดได้อย่างแม่นยำ นำไปสู่การพัฒนาสินค้าที่โดดเด่น การคาดการณ์โอกาสทางธุรกิจ และการวางแผนการเติบโตที่มีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องเสียงบประมาณไปกับการลองผิดลองถูก

สุดท้ายนี้อยากฝากให้เจ้าของแบรนด์/ธุรกิจ จงคว้าโอกาสที่ดีที่สุดเอาไว้ บางทีอาจอยู่ใกล้ตัวเราเพียงแค่ปลายนิ้วคุณ
Insight และ DATA มีอยู่ทุกที่ให้ดู หากรู้จักนำมาใช้ให้เกิดประโยชน์ สามารถประหยัดต้นทุน ค่าใช้จ่ายภายในบริษัทได้อีกมากเลยล่ะค่ะ

Shipnity เป็นระบบหลังบ้าน ที่มีฟีเจอร์รองรับการทำ CRM ครบ ช่วยให้คุณเก็บข้อมูล DATA และ Insight ต่าง ๆ ที่อยากรู้ได้
ระบบติดตามลูกค้า เช่น ดูประวัติการซื้อ สถิติการซื้อ โปรโมชันที่ลูกค้าสนใจ
ระบบจัดการหมวดหมู่ลูกค้า เช่น ลูกค้าประจำ, ลูกค้า VIP เป็นต้น
ระบบคูปอง (Promo Code) สร้างส่วนลดเฉพาะลูกค้าแต่ละกลุ่มได้ 

ใช้ Shipnity เป็น 1 ในตัวช่วยวางกลยุทธ์ตลาดของคุณ เริ่มต้นเพียง 890.- ทดลองใช้ฟรี! 14 วัน
หรือสามารถทักเจ้าหน้าที่มาปรึกษาเพิ่มเติมได้เลย https://blog.shipnity.com/stock-system-management-real-time

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
☎️ โทร: 065-226-8844
Facebook: facebook.com/shipnity
Line@: @shipnity