You are currently viewing สยบสงครามค่าธรรมเนียมแพง ด้วย 5 ท่าไม้ตาย ปั้นแบรนด์ให้ไปต่อ

สยบสงครามค่าธรรมเนียมแพง ด้วย 5 ท่าไม้ตาย ปั้นแบรนด์ให้ไปต่อ

แม่ค้าขายของออนไลน์ยุค 2025 คงต้องสู้ชีวิตกันแบบไม่มีพัก เพราะขึ้นปีใหม่ที่ผ่านมาแพลตฟอร์มหลายที่ประกาศขึ้นค่าธรรมเนียมแบบเต็มพิกัด ทั้ง TikTok Shop / Shopee / Lazada ที่ถือเป็น 3 แพลตฟอร์มชั้นนำของคนทำธุรกิจออนไลน์ต่างก็ขึ้นค่าธรรมเนียมการขาย เรียกได้ว่าเป็นความท้าทายสำหรับการเริ่มต้นใหม่กับคนเดิมของพ่อค้า/แม่ค้าออนไลน์กันสุด ๆ เพราะมันกระทบทั้งเรื่องกำไรและการบริหารต้นทุนของร้านค้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ แต่ในวิกฤตก็ยังมีโอกาสให้คุณได้เติบโตอยู่เสมอ เตรียมรับมือได้เลยตั้งแต่วันนี้ เพราะ Shipnity มี 5 ท่าไม้ตายที่จะช่วยให้คุณพ้นวิกฤตค่าธรรมเนียมสูงและทำกำไรต่อไปได้

ส่องค่าธรรมเนียมการขายบนแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ประจำปี 2025

1. Shopee

ค่าธรรมเนียม Shopee จะมีความต่างกันระหว่างร้าน Shopee Mall กับร้านค้าทั่วไป  สำหรับ Shopee Mall จะมีค่าธรรมเนียมที่รวม Vat 7% ตั้งแต่ 5.35% จนถึง 11.77% ส่วนร้านค้าทั่วไปจะอยู่ที่ 5.35% จนถึง 9.63% 
*ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2568 อาจมีการอัปเดตเพิ่มเติม

2. Lazada

แพลตฟอร์มเพื่อนบ้านอย่าง Lazada ก็มีค่าธรรมเนียมที่แตกต่างกันระหว่างร้าน Laz Mall กับร้านค้าทั่วไป สำหรับ Laz Mall จะอยู่ที่ 6% จนถึง 10% ส่วนร้านค้าทั่วไปจะอยู่ที่ 5% จนถึง 8% หลังจากรวม Vat 7% เรียบร้อยแล้ว

*ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2568 อาจมีการอัปเดตเพิ่มเติม

3. TikTok

ตัวเลขค่าธรรมเนียม TikTok ที่ได้ประกาศไว้ล่าสุดในวันปีใหม่ 2025 ที่จะเรียกเก็บเป็นค่าคอมมิชชันจากร้านค้าจะมีความแตกต่างกันระหว่างร้านค้า Mall กับร้านค้าทั่วไป สำหรับร้านค้า Mall จะมีค่าธรรมเนียมอยู่ที่ 5.35% จนถึง 8.56% ส่วนร้านค้าทั่วไปจะอยู่ที่ 5.35% จนถึง 6.42%

จะเห็นได้ว่าทั้ง 3 แพลตฟอร์มก็มีค่าธรรมเนียมการขายที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับประเภทของร้านค้าและประเภทของสินค้า ถ้าใครอยากได้ข้อมูลแบบลงลึกในแต่ละแพลตฟอร์มก็สามารถไปอ่านได้ในเว็บของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ได้เลย

*ข้อมูล ณ วันที่ 31 มกราคม 2568 อาจมีการอัปเดตเพิ่มเติม

ขอขอบพระคุณข้อมูลอ้างอิงจาก Flowaccount

งัด 5 ท่าไม้ตายที่จะช่วยให้คุณพ้นวิกฤตค่าธรรมเนียมสูง

1. กำหนดราคาใหม่ให้เหมาะสม

ผลกระทบของค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้นนอกจากจะทำให้คนซื้อจ่ายแพงขึ้นแล้ว ยังทำให้คนขายถูกกินกำไรอีกด้วย แต่ในมุมของพ่อค้า/แม่ค้าออนไลน์ถ้าคิดจะปรับราคาสินค้าที่ขายอยู่ขึ้นมาใหม่ก็ต้องลองเปรียบเทียบค่าธรรมเนียมกับต้นทุน/กำไรที่เราจะรับได้ และไม่โยนภาระให้คนซื้อมากเกินไป เพราะมันจะกระทบกับธุรกิจของเราจนสะดุดกลางทางได้

ก่อนที่คุณจะปรับราคาสินค้าคุณต้องทำการบ้านให้ดีว่าสินค้าแต่ละชิ้นในร้านของคุณมีต้นทุนต่อล็อตเท่าไหร่และกำไรก่อนหน้านี้เป็นอย่างไร แล้วลองวิเคราะห์ต่อว่าในแต่ละแพลตฟอร์มคุณจำเป็นต้องตั้งราคาสินค้าแบบไหนให้ยังคงมีกำไรในการทำธุรกิจ เพราะค่าธรรมเนียมที่ปรับขึ้นในแต่ละแพลตฟอร์มก็แตกต่างกัน รวมไปถึงความแตกต่างในสินค้าแต่ละประเภทด้วย เช่น ค่าธรรมเนียม Shopee ที่แตกต่างกันระหว่างการขายเสื้อผ้าแฟชั่นบนแพลตฟอร์มกับการขายอาหารบนแพลตฟอร์ม หรือที่เรียกว่า ShopeeFood ซึ่งมีการคิดค่า GP (Gross Profit) จากร้านอาหาร

2. สร้างช่องทางการขายของตนเอง (Owned Channel)

ในยุค 2025 นี้ ไม่ว่าใครก็เล่นโซเชียล ตั้งแต่ Baby Boomer หรือไล่ไปจนถึง Gen Alpha ก็มีบัญชีโซเชียลมีเดียเป็นของตัวเองเพราะฉะนั้นคุณไม่จำเป็นต้องนั่งง้อแพลตฟอร์มขายของออนไลน์เลย ขอแค่คุณมีช่องทางในการติดตามร้านค้าของคุณบนช่องทางต่าง ๆ แล้วทำการตลาดให้ดี คุณก็สามารถปิดการขายได้โดยไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมที่แพงขึ้นกว่าเดิม

การใช้โซเชียลมีเดียในการขายของออนไลน์ถือว่าตอบโจทย์มาก ๆ ในยุคนี้ ไม่ว่าจะ Facebook, Instagram หรือ LineOA คุณก็สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว แรก ๆ อาจจะต้องใช้ความพยายาม แต่ถ้าแบรนด์ของคุณเริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้นแล้ว ข้อดีของการมีช่องทางการขายของตัวเองนอกจากจะมีข้อมูลของลูกค้าอยู่ในมือแล้วก็ยังมีแต้มต่อจะช่วยให้คุณสร้างฐานลูกค้าได้อย่างแข็งแกร่ง

3. ปรับลดต้นทุนในงานอื่น ๆ

ในยุคที่แพลตฟอร์มขายของออนไลน์ต่าง ๆ เริ่มปรับค่าธรรมเนียมเพิ่มสูงขึ้น คงถึงเวลาแล้วที่คุณจะต้องลดทอนค่าใช้จ่ายส่วนที่ไม่จำเป็นลงไปบ้าง แต่ต้องไม่ลืมที่จะรักษาคุณภาพของสินค้าให้มีประสิทธิภาพเท่าที่ลูกค้าเคยได้รับเพื่อไม่ให้ร้านของคุณเสียชื่อเสียงที่เคยทำไว้ หรือง่ายกว่านั้นก็อาจจะลองมองหาช่องทางการขายที่คุณสามารถรับได้กับค่าธรรมเนียมการขายที่เขาเรียกเก็บจากร้านของคุณ

ค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่เป็นต้นทุนในร้านค้าของคุณยังมีอีกมาก แต่สิ่งที่ลดง่ายที่สุดคงเป็นต้นทุนค่าขนส่ง เช่น ลองหันมาใช้ระบบ Shipnity ที่เขามีระบบ Shipnity Express ที่จะทำให้คุณพ่อค้า/แม่ค้าออนไลน์ได้ดีลค่าส่งในราคาพิเศษถูกกว่าต้องออกไปส่งเอง

4. เพิ่มมูลค่าให้สินค้าและการบริการ

ปี 2025 นี้ ถึงเวลาแล้วที่ร้านของคุณจะต้องเริ่มต้นเปลี่ยนแปลงอะไรใหม่ ๆ ในยุคที่การแข่งขันในตลาดธุรกิจออนไลน์สูงเฉียดฟ้าแบบนี้ คุณจำเป็นต้องมีเรื่องเล่าให้กับแบรนด์หรือหากลยุทธ์ที่จะช่วยสร้างประสบการณ์ดี ๆ ให้ลูกค้าได้มากกว่าเดิมแล้ว

จะสู้ศึกค่าธรรมเนียมการขายแพงแบบนี้ ขอแค่คุณมีทักษะการเล่าเรื่องที่จะช่วยยกระดับสินค้าหรือมีการบริการที่จะช่วยสร้างความประทับใจให้ลูกค้า ต่อให้ของชิ้นนั้นจะราคา 100 บาท คุณก็สามารถเพิ่มมูลค่าของสินค้าได้ถึง 500 บาท โดยที่ลูกค้าเต็มใจจ่าย

5. วิเคราะห์และติดตามผล

ข้อนี้เป็นเรื่องที่คุณห้ามลืมเป็นอันขาด ต้องขยันตรวจสอบทั้งรายได้และค่าใช้จ่ายในการทำธุรกิจ เพื่อที่จะได้วางแผนได้ว่าต่อไปควรจะต้องใช้กลยุทธ์แบบไหนในการทำการตลาด

อีก 1 เรื่องที่สำคัญไม่แพ้กันในการสู้ศึกค่าธรรมเนียมแพง คือ การค้นหาช่องทางใหม่ ๆ ที่จะช่วยเพิ่มรายได้ให้กับแบรนด์ของคุณได้เติบโตขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ และต้องหมั่นติดตามเทรนด์ใหม่ ๆ อยู่เสมอจะได้ตอบสนองความต้องการหรือความสนใจของลูกค้าได้อย่างตรงจุด

อย่ารอให้ถึงวันที่ธุรกิจของคุณโดนศัตรูตัวฉกาจอย่างค่าธรรมเนียมมาฟันเอากำไรในการทำธุรกิจของคุณไปจนหมด พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสไม่ใช่เรื่องยากขอแค่คุณเอากลยุทธ์ในวันนี้ไปปรับใช้ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณก็รับรองได้เลยว่า ความสำเร็จอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อมแล้ว

Shipnity-LOGO

ก่อนจะจากกันไป แอบกระซิบว่า นอกจาก Shipnity จะช่วยจัดการออเดอร์ & สต็อกให้ลูกค้าแล้ว ยังมีฟีเจอร์ซัปพอร์ตการขายบน Social Commerce ครบ !! ไม่ว่าจะเชื่อมแชท ดูดคอมเมนต์ หรือสรุปยอดผ่าน Facebook IG เราก็ทำได้ครบ แถมยังมีฟีเจอร์ช่วยยิงแอด ดันยอดขายร้านค้าสบาย ๆ

ราคาเริ่มต้นเพียง 890.- ทดลองใช้ฟรี 14 วัน
https://blog.shipnity.com/stock-system-management-real-time/

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม
☎️ โทร: 065-226-8844
Facebook: facebook.com/shipnity
Line@: @shipnity