You are currently viewing รู้ใจลูกค้าอย่างทรงพลังด้วยFacebook Analytics พร้อมโบกมือลา Facebook Insight ได้เลย !

รู้ใจลูกค้าอย่างทรงพลังด้วยFacebook Analytics พร้อมโบกมือลา Facebook Insight ได้เลย !

                                                                        


ที่มา :
 Facebook Analytics

    เวลาเราเลือกวิเคราะห์โฆษณา ด้วยความเคยชินเรามักจะเข้าไปดู Facebook insight ซึ่งทำได้เพียงแสดงข้อมูลอย่างคร่าวๆ แต่รู้หรือไม่ว่า พี่มาร์คแอบติดตั้งเจ้าเครื่องมือที่จะมาเป็นตัวช่วยหลักของเราเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลายๆแบรนด์หรือบรรดาเพจร้านค้าเองไม่ได้รู้ด้วยซ้ำว่ามีเจ้าเครื่องมือทรงพลังดีๆแบบนี้ติดตั้งอยู่ ซึ่งตัวนี้ถือว่าเป็นคู่แข่งสำคัญของ Google Analytics เลยทีเดียว ซึ่งช่วยให้บรรดาเหล่านักมาร์เก็ตติ้งและร้านค้าออนไลน์ทำความเข้าใจพฤติกรรมของคุณลูกค้าได้มากขึ้นในทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็น desktop, messenger ฯลฯ มีเครื่องมือที่มีประโยชน์และน่าสนใจขนาดนี้แล้ว มาทำความรู้จักกันเลยดีกว่า
 

Facebook Analytics คืออะไร


      คือเครื่องมือที่ช่วยบอกเหล่าแม่ค้าออนไลน์ว่า บรรดาลูกค้าของเราชอบอะไร พฤติกรรมการใช้สินค้าเป็นอย่างไร โดยจะโชว์ข้อมูลของพฤติกรรมลูกค้าแบบเสร็จสรรพจากข้อมูลสถิติที่เก็บมาจากผู้ใช้งานในเฟสบุ๊ค ช่วยบอกลักษณะลูกค้าของเรา(ข้อมูลประชากรศาสตร์) เช่น อายุ เพศ พื้นที่อาศัยของลูกค้า หรือบอกว่าลักษณะคนแบบใดที่ชื่นชอบสินค้าของคุณเป็นพิเศษ นอกจากนี้มักมีการซื้อ-ขายในช่องทางไหนเป็นพิเศษ เช่น Android/iOS, เว็บไซต์เพจ Facebook  หรือเรียกว่า Track ข้ามแพลตฟอร์ม เช่น ลูกค้าเห็นโฆษณาจากเฟสบุ๊คบนเครื่อง PC ของเขา แต่กลับตัดสินใจซื้อสินค้าเราเมื่อเข้าเว็บไซต์ (Google Analytics ทำไม่ได้นะ) เครื่องมือนี้ปล่อยพลังวิเคราะห์ให้แม่ค้าออนไลน์แบบ ฟรี! (เหมือนการจีบสาวที่ชอบ เราต้องรู้ใจเขา ถึงจะชนะใจได้)


                                                           

   ที่มา : https://cdn2.hubspot.net/hubfs/1570479/Old-Website-Images/cross-device-conversions.png

  ถ้ากรณีที่คุณเป็นมือใหม่หัดลง Ad คุณอาจจะคิดล่วงหน้าไปว่าการลงโพสต์ที่ตลกๆ ขำขันสักเล็กน้อยหรือโพสต์ที่มีดีไซน์สะดุดตา ตกแต่งสวยๆ จะช่วยให้ร้านค้าออนไลน์ของคุณมียอดคนติดตามเยอะขึ้นและขยายให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น (ความจริงส่วนหนึ่งมันก็ใช่) โดยที่ไม่วางแผนอะไรเลย  คิดแบบนี้ถือว่าพลาดสุดๆ 

    ในความเป็นจริงแล้ว เราควรจะตั้งเป้าหมายการลงโฆษณา ไม่ใช่สักแต่ลงโพสต์แล้วหวังให้มันเกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา อาจจะตั้งเป้าหมายสัก 1 หรือ 2 เป้าหมายสำหรับโพสต์โฆษณาเพื่อช่วยให้คุณสามารถทำโพสต์โฆษณาสักตัวออกมาได้อย่างเต็มที่ ดีกว่าการลงแบบสะเปะสะปะ เช่น หากเรามีการตั้งเป้าหมายในการลงโฆษณาว่าโพสต์นี้จะจับกลุ่มเป้าหมายเป็นวัยรุ่น การครีเอทเนื้อหา Content จะลงชี้เพาะเจาะจงได้มากขึ้น ดังนั้นจะทำให้การลงโฆษณาของเรามีประสิทธิภาพ แพร่กระจายเป็นที่รู้จักในกลุ่มนั้นได้เป็นอย่างดี

    นอกจากนี้ หลังจากที่ลงโพสต์ไปสักระยะเวลาหนึ่งแล้ว การวิเคราะห์ตัวโพสต์โฆษณา 1 โพสต์ จะทำให้เราจับจุดแนวทางครั้งต่อไปได้ถูกต้องยิ่งขึ้น แถมยังช่วยเพิ่ม ROI ในระยะยาวอีกด้วย (ROI : ตัวบอกความคุ้มทุนของโฆษณาว่าเราใช้จ่ายคุ้มหรือไม่) ซึ่งเครื่องมือที่ใช้วิเคราะห์ตามความคุ้นชินที่ผ่านมา คงหนีไม่พ้น Google Analytics หรือเจ้า Facebook Ads Manager แต่ยังมีเครื่องมือวิเคราะห์ใหม่ล่าสุดที่กำลังเป็นที่พูดถึงอย่างสุดๆในแวดวงการขายของออนไลน์ คือ Facebook Analytics นั่นเอง ! 

    ก่อนที่เครื่องมือวิเคราะห์จากเฟสบุ๊คสามารถสร้างมูลค่าแก่เราได้อย่างมหาศาล แต่ทว่าตอนติดตั้งและตอนพยายามทำความเข้าใจมัน ถือว่าเป็นเรื่องน่าท้าทายมาก (ติดตามต่อได้ในบทความตอนที่ 2)


เข้าใจกันก่อนอย่างคร่าวๆ


    ปกติแล้ว 1 ในปัจจัยพื้นฐานของการโฆษณา Facebook คือต้องสามารถวัดผลและช่วยแม่ค้าออนไลน์ในการตัดสินใจโดยอ้างอิงถึงแหล่งข้อมูลของ user  ซึ่งถ้าหากไม่สามารถติดตามผลลัพธ์ทั้งหมดเองได้ด้วยข้อมูลเหล่านั้น เราจำเป็นต้องใช้การคาดเดา ซึ่งทำให้เสียเงินโฆษณาอย่างสิ้นเปลืองโดยใช่เหตุ แถมไม่มีประสิทธิภาพอย่างยิ่ง ซึ่งเครื่องมืออย่าง Facebook Ads Manager และ Google Analytics เองสามารถเปิดแหล่งข้อมูลของ User ได้เพียงบางส่วนเท่านั้น สามารถให้เราไปใช้ประโยชน์ได้เพียงบางส่วน ไม่ได้เปิดเผยออกมาทั้งหมด

  แต่เจ้าตัว Facebook Ads Manager สามารถให้ตัวชี้วัด (Metrics) หลายๆอย่างในแคมเปญโฆษณาแต่ละตัว โดยเฉพาะหากเราใช้ Facebook pixel เข้ามาช่วยด้วย แต่ยังมีข้อจำกัดคือ เครื่องมือตัวนี้สนใจเฉพาะจำนวนคลิก(Clicked) หรือยอดคนดู(Viewed) ของผู้ใช้งาน(User Account) โดยไม่ได้สนเลยว่าผู้ใช้งานคนน้ันเข้ามาในเพจเรา(Facebook business page) เพราะความสนใจแบบจริงๆหรือเปล่า(Organic interactions) หรือแค่หลงเข้ามาเฉยๆ  นักการตลาดจึงมักหันไปใช้ Google Analytics แทน แต่ก็ติดข้อจำกัดคือ มันไม่เชื่อมโยงต่อกับ Facebook Pixel (ตัว Pixel นี่มันประโยชน์มหาศาลต่อการวิเคราะห์จริงๆนะ หากไม่ใช้มันก็กระไรอยู่)

   สรุปแล้วก็คือ เจ้าเครื่องมือ Facebook Analytics สามารถรวบรวม Facebook pages, pixels และแอพลิเคชันหลายๆตัวและนำมาวิเคราะห์ได้อย่างหมดเปลือก เพื่อทำให้นักการตลาดหรือเจ้าของร้านค้าออนไลน์สามารถมองเห็นข้อมูลทุกอย่างในภาพรวมขนาดใหญ่ได้ ตามช่วงเวลาต่างๆ เช่น 30 วัน 60 วัน 90 วัน หรือ 1 วันก็ยังได้ นอกจากนี้ยังสามารถวิเคราะห์ User ว่าสนใจในสินค้าเราจริงๆไหม โดยดูจากพฤติกรรม และการใช้เวลาในช่องทางธุรกิจของเรา ไม่ใช่เผลอหลงเข้ามาคลิกหรือมาดูแล้วติ๊ต่างว่าสนใจสินค้าเรา ทำให้การวิเคราะห์ของเรารวนหรือผิดพลาด รวมทั้งทราบถึงผลลัพธ์จากการทำโฆษณาจากทั้งแบบจ่ายเงิน(paid marketing) และแบบธรรมชาติ(organic marketing) ที่เราอัดฉีดไปในหลายๆช่องทางได้อีกด้วย 

 

  เครื่องมือสุดว้าวแบบนี้ ทำให้บรรดาแม่ค้าออนไลน์หรือนักการตลาดสามารถอมยิ้มได้เป็นแถบ แต่ในมุมผู้ใช้งาน User คงหุบยิ้มกันทั้งแถบ โดนดูดข้อมูลก็ขำไม่ออกละครับท่านผู้ชม แต่คิดในแง่บวกคือโดนดูดข้อมูลเพื่อพวกเขาจะได้ทำสินค้าและบริการมาให้ถูกอกถูกใจเรางายยย  … 


……………………………………………………………………..

แชร์ประสบการณ์ฉบับแม่ค้าออนไลน์ หรือมีข้อมูลดีๆมาบอกต่อ ร่วมเม้ามอยท์ พูดคุยได้ที่นี่ 
สมาคมคนขายของและบริหารธุรกิจแบบมืออาชีพ by SHIPNITY

( Link : https://www.facebook.com/groups/1865849733720233/?source_id=805427532888306)

ขอขอบคุณเค้าโครง  

https://adespresso.com/   Graham Hunter Blog
engineering.thinknet.co.th : คุณ Tayathorn Panuwattanawong