เคยสังเกตกันไหมว่า ทำไมร้านดังที่ฮิตติดกระแสของนักช้อปไทยในเวลานี้ มักจะสร้างปรากฏการณ์ “Sold out“ กันแทบทุกแบรนด์ และส่วนใหญ่ล้วนประสบความสำเร็จกันอีกด้วย สิ่งนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่ถือเป็นกลยุทธ์การตลาดอย่างหนึ่งที่แบรนด์ชอบใช้กันในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา
ผู้คนมักแย่งกันกดใส่ตะกร้าและซื้อเร็วจนของหมดไว Sold out ใน 3 นาที ซึ่งการสร้างความรู้สึก “หาซื้อยาก” “มีจำนวนจำกัด” หรือก็คือ การทำ Fear of missing out ที่ทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “ฉันไม่อยากตกเทรนด์ตกกระแส” จึงจำเป็นต้องมีสินค้าเหล่านี้ติดไม้ติดมือไปด้วยเช่นนี้ ไม่เพียงแต่กระตุ้นต่อมให้ลูกค้าอยากได้อยากมีอย่างเดียว แต่ยังสามารถเพิ่มมูลค่าของสินค้าธรรมดา ๆ ให้กลายเป็นสินค้าฮีโร่ประจำแบรนด์ที่ลูกค้าต้องออกล่าตามหาได้
ในบทความนี้เราจะพาคุณไปลงลึกถึงเบื้องหลังความสำเร็จของร้านดังที่ใช้กลยุทธ์ Sold out ถือเป็นเครื่องมือจิตวิทยาการขายในการสร้างยอดขายแบบหนึ่ง ที่ทำให้ลูกค้าติดแบรนด์ เป็นไอเดีย 5 ข้อสำคัญ ให้ลองนำไปต่อยอดปรับให้เข้ากับร้านค้าของตัวเองกันได้นะคะ
1. สินค้าคุณต้อง “เด็ด” จริงก่อน

จะทำให้คนเห็นว่าของขายดีจริง หรือจะสร้างปรากฏการณ์ที่ดู Impact ต่อแบรนด์ สิ่งสำคัญที่สุดอันดับแรกคือ คุณภาพของสินค้าต้องโดดเด่นและแข็งแกร่งมากพอที่จะสร้างกระแสความต้องการได้จริงด้วยนะคะ
เพราะสินค้าที่จะกลายเป็นฮีโร่โปรดักของคุณที่ประสบความสำเร็จในการทำกลยุทธ์ Sold out Marketing ในอนาคตนั้น จำเป็นต้องมีจุดเด่นที่ชัดเจน โดยอาจเป็น วัสดุที่มีเอกลักษณ์ คุณภาพวัตถุดิบที่นำมาใช้ก็ระดับพรีเมียม หรือนวัตกรรมการผลิตที่แตกต่าง จนทำให้ลูกค้ารู้สึกว่า “ของมันต้องมี”
นอกจากนี้การพัฒนาและรักษาคุณภาพสินค้าให้ดีและตอบโจทย์ลูกค้าแบบต่อเนื่องในทุก ๆ ครั้งที่ออกสินค้าจนกลายเป็น “Best Seller” ประจำร้าน ก็จะช่วยให้ลูกค้าพร้อมจะรอคอยและติดตามทุกครั้งที่คุณมีการปล่อยสินค้าใหม่ออกมา เพราะลูกค้ามั่นใจในคุณภาพที่จะได้รับจากคุณแล้ว แม้ว่าจะต้องใช้ความพยายามในการได้มาแค่ไหนก็ตาม
2. ใช้อินฟลูเอนเซอร์ช่วยโหมโปรโมต

การส่งสินค้า/จ้างอินลฟูเอนเซอร์ หรือ KOL ให้ช่วยโปรโมตสินค้าของคุณ ถือเป็นกลยุทธ์ที่ช่วยเร่งให้สินค้าเป็นที่รู้จักในตลาดได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งถ้าแบรนด์เลือกอินฟลูเอนเซอร์ที่มีภาพลักษณ์สอดคล้องกับแบรนด์ และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ตรงจุด ก็จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและดันความสนใจจากกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี
เพราะเมื่อว่าที่ลูกค้าเห็นอินฟลูเอนเซอร์โชว์รีวิวและประสบการณ์การใช้สินค้าให้ดู ทั้งในแง่ความสวยงาม คุณภาพ และความคุ้มค่า ก็จะยิ่งตอกย้ำให้ลูกค้าเกิดความเชื่อมั่นและอยากทดลองใช้ตาม แต่ทั้งที่สิ่งที่สำคัญที่สุดคงหนีไม่พ้น “สินค้าของคุณก็ต้องเด็ดจริงก่อน” ไม่พอ ยังต้องมีคุณภาพตามจริงที่แบรนด์ได้เคลมหรือนำเสนอไป เพราะเมื่อลูกค้าได้ทดลองใช้แล้วเกิดความประทับใจ ก็จะเป็นกระบอกเสียงที่คอยบอกต่อให้เอง ทั้งยังเป็นลูกค้าที่คอยติดตามสินค้าใหม่ ๆ ของแบรนด์อย่างต่อเนื่องอีกด้วย
3. ใส่ความน่าตื่นเต้น ความจำกัด ตอนโปรโมตสินค้า

ขั้นตอนการโปรโมตก็เป็นอีกหนึ่งวิธีที่สำคัญในการทำกลยุทธ์ Sold out โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใส่ความน่าตื่นเต้น ความจำกัด เข้าไปในตอนที่โปรโมตสินค้า แต่ทั้งนี้รูปแบบการโปรโมตก็ควรต้องอยู่บนพื้นฐานของความโปร่งใสและความจริงใจต่อลูกค้าด้วยนะคะ
แบรนด์ควรสื่อสารข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับสินค้าอย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าจะเป็น
– เรื่องจำนวนสินค้าที่มีจำกัดตามกำลังการผลิตหรือวัตถุดิบที่มี
– ระบบการจองและเงื่อนไขการสั่งซื้อที่ชัดเจนเป็นธรรม เพื่อป้องกันเกิดเหตุลูกค้ามาทวงถาม
– การอัปเดตสถานะสินค้าคงเหลือตามความเป็นจริง
นอกจากนี้ การสร้างคอนเทนต์ที่ให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับสินค้า พร้อมทั้งแนะนำวิธีการจองหรือซื้อสินค้าอย่างละเอียด ก็จะช่วยให้ลูกค้าเตรียมตัวและวางแผนการซื้อได้ดียิ่งขึ้น
หรืออาจจะลองทำคอนเทนต์แนว Q&A เพื่อพูดคุยกับลูกค้า เพื่อให้เห็นว่าแบรนด์พร้อมรับฟังและแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าอย่างเต็มที่ ซึ่งในจุดนี้ก็จะช่วยสร้างความประทับใจและความเชื่อมั่นในตัวแบรนด์เพิ่มขึ้นได้ แม้ว่าสินค้าจะ Sold out อย่างรวดเร็วก็ตาม สิ่งเหล่านี้ถือเป็นกลยุทธ์ Sold out ที่หลายแบรนด์ดังชอบทำ และจะช่วยให้ลูกค้าติดแบรนด์ได้แบบตรงจุดมากขึ้น
4. ประกาศความปังของแบรนด์ ที่สินค้าถูก Sold out

เมื่อสินค้าถูกขายจนหมดอย่างรวดเร็ว การประกาศความสำเร็จของแบรนด์ผ่านการสื่อสารลงบนโซเชียลมีเดียล โดยมีเนื้อหาที่แสดงถึง “ความขอบคุณ” และ “ความใส่ใจ” ต่อลูกค้า จะช่วยสร้างความรู้สึกดีให้กับทั้งผู้ที่ซื้อได้และซื้อไม่ทันได้นะคะ
หรือแม้แต่การแจ้งสถิติการขาย เช่น “ขายหมดภายใน 5 นาที” ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นถึงฮอตฮิตของสินค้าแบรนด์ แต่ยังเป็นการตอกย้ำถึงคุณค่าและความพิเศษให้กับผู้ที่ซื้อได้ว่า “ของชิ้นนี้มันต้องมี” ในขณะเดียวกัน การประกาศแผนการผลิตสินค้าที่เพิ่ง Sold out ในรอบถัดไปอย่างชัดเจน พร้อมทั้งเชิญชวนให้ลูกค้าที่พลาดโอกาสในการซื้อครั้งนี้ ก็จะช่วยปลอบใจและรักษาความหวังของลูกค้าไว้ได้ ทำให้ลูกค้าจดจ่อและรอคอยโอกาสที่จะซื้อของชิ้นนี้อีกครั้งในรอบถัดไป ซึ่งกลยุทธ์นี้จะช่วยรักษาฐานลูกค้าไม่ให้หายไปได้ และเป็นการสร้างความต่อเนื่องของกระแสสินค้า Sold out อีกด้วย
5. สร้างมาตรฐานที่ดีให้กับแบรนด์ และรักษาคำพูดกับลูกค้า

หัวใจสำคัญในการสร้างแบรนด์ให้มั่นคง และเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ Sold out ที่แบรนด์ต้องท่องให้ขึ้นใจ คือ การรักษามาตรฐานและความน่าเชื่อถือของแบรนด์ให้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการรักษาคำพูดและความซื่อสัตย์ต่อลูกค้า ไม่ใช่เพียงแค่การสัญญาว่าจะผลิตสินค้าเพิ่ม แต่คุณต้องทำให้เกิดขึ้นจริงตามที่ประกาศไว้ด้วย
โดยถ้าหากระหว่างทางแบรนด์ได้เกิดปัญหาหรืออุปสรรคใด ๆ ขึ้นมา ทางแก้ปัญหาก็จำเป็นต้องสื่อสารกับลูกค้าอย่างตรงไปตรงมาและรีบดำเนินการแก้ไขอย่างรวดเร็ว ก็จะช่วยรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้าไว้ได้ เมื่อแบรนด์สามารถรักษาสัญญาและมาตรฐานการบริการได้อย่างสม่ำเสมอ ลูกค้าจะเกิดความไว้วางใจและพร้อมจะซับพอร์ตแบรนด์ต่อเนื่องในระยะยาว
การสร้างกลยุทธ์และปรากฏการณ์ Sold out ถือเป็นอีกหนึ่งเทรนด์การตลาด 2025 ที่ยังน่าจับตามอง และหลาย ๆ แบรนด์ก็น่าจะทำกันเยอะมากขึ้น เพราะนั่นไม่ใช่เพียงกลยุทธ์การตลาดที่สร้างยอดขายในระยะสั้น แต่ยังเป็นศาสตร์การสื่อสารที่ต้องผสมผสานระหว่างความต้องการและการรักษาความไว้วางใจจากลูกค้า เมื่อแบรนด์สามารถสื่อสารอย่างโปร่งใส จริงใจ และรักษามาตรฐานคุณภาพได้อย่างสม่ำเสมอ ก็จะนำไปสู่การบอกต่อแบบปากต่อปาก สร้างฐานลูกค้าที่ภักดี (Loyalty) และการเติบโตในอนาคตได้ ซึ่งไม่เพียงแต่การันตีผลกำไรเท่านั้น แต่ยังสร้างความมั่นคงให้กับแบรนด์ผ่านกลุ่มลูกค้าขาประจำที่พร้อมจะซับพอร์ตแบรนด์ในระยะยาว

หากคุณกำลังมองหา “ระบบหลังบ้าน”
Shipnity ก็เป็นอีกทางเลือกที่เหมาะสมและตอบโจทย์ในทุก ๆ ด้าน เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่จะช่วยคุณจัดการออเดอร์ & สต๊อกสินค้าอย่างครบลูป พร้อมฟีเจอร์มากมายที่จะช่วยให้คุณขายของง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็น ฟีเจอร์บรอดแคสต์ ฟีเจอร์ช่วยการติดแท็กลูกค้า Facebook IG LINEOA และอื่น ๆ อีกมากมาย สามารถทักมาสอบถามและปรึกษาได้ ยินดีสอนให้คุณใช้เป็นแม้ยังไม่จ่ายเงิน
คลิก > https://blog.shipnity.com/stock-system-management-real-time/
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม โทร: 065-226-8844
Facebook: facebook.com/shipnity
Line@: @shipnity