โดยทั่วไปแล้ว หากสินค้าและบริการของเราไม่ดึงดูดลูกค้านัก เราคงรู้สึกเฟลบ้างพอสมควร และอาจจะรู้สึกท้อแท้หนักเข้าถึงขั้นไม่อยากทำธุรกิจต่อเลยก็เป็นได้ มีคำกล่าวไว้ว่า “ท้อกายนั้นยังท้อได้ แต่อย่าพึ่งยอมแพ้ท้อใจไปเสียก่อน ทำดีย่อมได้ดี แต่ถ้าทำดีไม่ถูกจุด ก็อาจจะไม่ได้ดี” ดังนั้นหากเรารู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตอนนี้ (พิจารณาตามเหตุผล) นั่นคือ สินค้าและบริการไม่ดึงดูดลูกค้า การพิจารณาถึงสาเหตุ จะเป็นการพลิกเปลี่ยนสถานการณ์ให้ดีขึ้นมาได้ ท้อได้แต่อย่าถอย เรามาดูกันว่าอะไรกันนะที่อาจจะเป็นสาเหตุให้สินค้าหรือบริการของเราไม่ดึงดูดลูกค้า มาตรวจดูกันเถอะ
1.ราคา (Price)
ลองเช็คดูว่าราคาที่เราตั้งไว้นั้นมันสูงเกินไปหรือเปล่า สูงจนทำให้ลูกค้าพากันหนีหรือเปล่า? เพราะตามหลัก กฎอุปสงค์ (Law of Demand) และอุปทาน (Law of Supply) จะอธิบายได้ดังนั้น
– กฎอุปสงค์(ความต้องการซื้อ) ระบุว่า ปริมาณความต้องการซื้อสินค้า หรือเรียกว่าปริมาณอุปสงค์ (quantity of demand) มีความสัมพันธ์ในทางลบกับราคา เมื่อปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลนั้นคงที่ สรุปง่ายๆว่า ถ้าราคาสูงขึ้น ลูกค้ามีแนวโน้มจะซื้อลดลง ในทางกลับกัน ถ้าราคาต่ำลง ลูกค้ามีแนวโน้มจะซื้อเพิ่มมากขึ้น
– ส่วน กฎอุปทาน(ความต้องการขาย) กล่าวว่า ปริมาณสินค้าที่ต้องการขายหรือปริมาณอุปทาน (quantity of supply) มีความสัมพันธ์ในทางบวกกับราคา เมื่อปัจจัยอื่นๆ ที่มีผลนั้นคงที่ กล่าวสรุปคือ ถ้าสินค้าราคาสูงขึ้น คนขายก็อยากขาย แต่ถ้าราคาสินค้ามันถูกลง คนขายก็ไม่อยากขายกันนักหรอก
แต่ทว่า สินค้าราคาถูก ลูกค้าก็ไม่ได้อยากซื้อเสมอไปนะ หากเรายิ่งตัดราคาถูกลงๆ แทนที่เราจะขายได้มากขึ้น กลับกลายเป็นโทษแก่เรามากกว่า ไหนเราจะได้กำไรน้อยลง และบางครั้งลูกค้าอาจจะตีความว่าสินค้าของเราไม่มีคุณภาพก็ได้ เราต้องตระหนักไว้ว่าไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่ชอบของถูกเสมอไป หากเราจะตั้งราคาสินค้าและบริการใดใดแล้วละก็ Key ที่สำคัญคือ เราต้องรู้จักตลาดของเรา ทั้งเรื่องลูกค้าและคู่แข่ง การตั้งราคาสินค้าที่ดีที่สุดคือ ตั้งราคาให้เหมาะสม สมเหตุสมผล ไม่ถูกเกินไปจนเราไม่เหลือกำไร หรือแพงเกินไปจนเราขายไม่ได้ จะทำให้เรามีกำไรอยู่ได้ ขณะเดียวกันก็ยังดึงดูดลูกค้าอยู่เสมอด้วย
2.สินค้าและบริการ (Product & Service)
บางทีสาเหตุที่สินค้าหรือบริการของเราไม่ดึงดูดเหมือนเมื่อก่อน อาจเป็นเพราะสินค้าหรือบริการของคู่แข่งกำลังเหนือกว่าเรา ทั้งโดดเด่นกว่า ส่วนเสริมสินค้าดีกว่า น่าใช้กว่า ดูน่ากินกว่า อร่อยกว่า หรืออะไรสักอย่างเป็นสาเหตุ เราต้องขวนขวายและค้นคว้าออกมาให้ได้ว่า อะไรกันแน่ที่สามารถทำให้คู่แข่งพัฒนาไปไกล เราต้องพัฒนาตามให้ทันและไปให้ไกลกว่า
บางครั้งถ้าสินค้าหรือบริการของเราล้าสมัย เก่าไป อาจจะเป็น Key สำคัญในการทำธุรกิจระยะยาว ที่เราต้องนึกถึงให้มากๆ ถึงเวลาแล้วที่ต้องปรับเปลี่ยนวิธีทำธุรกิจใหม่ เราควรมีการผลักดัน อัพเดทธุรกิจให้ทันสมัยอยู่เสมอ โละสิ่งเก่าๆที่ใช้ไม่ได้ในปัจจุบัน หันมาเน้นย้ำในส่วนที่ควรพัฒนา พยายามใช้เวลาในสิ่งไม่จำเป็นให้น้อยลง เอาเวลาที่มีไปพัฒนาตัวโปรดักส์ในส่วนที่จำเป็นแทน
แต่หากสินค้าหรือบริการที่มีความเก่าแก่เป็นจุดขาย ชื่นชมความสวยงามที่ผ่านกาลเวลา หรือมีความดั้งเดิม เป็นตำนาน เช่น ร้านอาหารเจ้าเก่า อาจจะต้องวิเคราะห์ด้านอื่นที่ทำให้สินค้าหรือบริการของเราไปได้ไกลกว่าเดิม เช่น การบริการลูกค้า ความรวดเร็วในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า เป็นต้น แน่นอนว่า การใช้วิธีผิดๆหรือวิธีตัดตอน นอกจากจะเสียเวลา เสียพลังงานในการทำให้ตัวเราดีขึ้น ซ้ำร้ายยังมีศัตรูเพิ่มขึ้นโดยใช่เหตุ และหากว่าเรื่องที่เราก่อไว้ รู้กันในวงกว้าง เราย่อมเสียหายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
3.ทำเล (Location)
“ทำเล” ถือเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แถมยังสำคัญที่สุดสำหรับการทำธุรกิจค้าปลีกแบบออฟไลน์ (offline retail businesses) หากร้านของเราตั้งอยู่ในมุมแอบ ยากต่อการหาหรือมองเห็น เดินทางไม่สะดวก รวมถึงการตกแต่งร้านทำได้ไม่ดี ไม่น่าเข้าสำหรับลูกค้าแล้วล่ะก็ ต่อให้วางแผนการตลาดมาดีแค่ไหนก็อาจจะสูญเปล่าได้
4. คนในองค์กร (People)
เราอาจจะคิดว่าเราดูแลลูกค้าดีพอแล้ว เราตอบทุกคำถามของลูกค้า ดูแลเอาใจใส่ทุกอย่าง แต่.. เราเข้าใจลูกค้าจริงๆหรือเปล่า แต่ที่สำคัญไปกว่านั้นคือพนักงานในองค์กรเรามีทักษะในการดึงดูดลูกค้าแล้วหรือยัง เราสามารถเทรนด์พนักงานในองค์กรเรา จนกระทั่งสามารถบริการอย่างมืออาชีพและดึงดูดลูกค้าต่อไปได้ไหม นอกจากนี้ การแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอื่นๆล่ะ ถ้าเกิดว่าลูกค้าต่อว่าสินค้าหรือบริการของเรา พนักงานของเรามีการรับมืออย่างไร พนักงานทุกคนควรถูกเทรนด์ให้บริการลูกค้าอย่างเหนือความคาดหมาย ลูกค้าคาดหวังอะไร เราควรเสิร์ฟการบริการของเราให้เหนือไปกว่านั้น เสมือนลูกค้าซื้อของ 100 บาท แต่เราจะบริการเยี่ยงหมื่นบาท เรียกได้ว่าการบริการถือเป็นกุญแจสำคัญอีกดอกหนึ่ง ที่จะช่วยดึงดูดลูกค้าให้ติดแบรนด์ของเราไปอีกยาว
5.การตลาด (Marketing)
การตลาดที่ไม่มีประสิทธิภาพ (Poor marketing) ไม่เพียงแต่ทำให้ลูกค้าหาเราไม่เจอ สินค้าและบริการของเราไม่เป็นรู้จักเท่านั้น แต่ยังส่งผลให้เราเสียลูกค้าไปได้อีกด้วย หากอยากลองทำการตลาด การตลาดแบบดั้งเดิม ยังคงใช้ได้อยู่เสมอ เราอาจจะผสมผสานการตลาดรูปแบบต่างๆ ประกอบด้วย ราคา สินค้า ทำเล และโปรโมชัน ซึ่ง 3 ข้อแรกได้อธิบายไปบ้างแล้ว ทีนี้มาอธิบายการทำโปรโมชันกันบ้าง
การทำโปรโมชันเป็นสิ่งสำคัญลำดับต้นๆของธุรกิจ หากเราไม่จัดโปรโมชันเลยหรือโปรโมทธุรกิจของเราแบบผิดวิธี อาจเป็นสาเหตุนึงที่ทำให้สินค้าของเราไม่ดึงดูดลูกค้า เพราะถ้าลูกค้าไม่รู้จักแบรนด์ของเราดีพอ ทำไมพวกเขาต้องซื้อของๆเราด้วย ทำไมเขาต้องไว้ใจสินค้าเราด้วย และถ้าโปรโมชันที่เราจัดนั้นท้ายที่สุดแล้วมันไม่สามารถโน้มน้าวให้ลูกค้าซื้อได้ เราก็จะเสียทั้งเวลาและเงิน ไม่คุ้มแรงที่เราลงไปเลย นอกจากนี้ การตลาดแบบออนไลน์ ก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่น่าสนใจ ยิ่งในปัจจุบันเรามีเครื่องมือทีดีกว่าอดีตมาก การทำการตลาดแบบออนไลน์ ตามช่องทาง Social Media ต่างๆ เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่เราควรทำ ดังนั้น การทำการตลาด ต้องผสานและลุยไปทั้งออฟไลน์และออนไลน์ ไม่ว่าจะเป็นการทำการตลาดทางตรง (Direct Marketing) การจัดบูธ และพีอาร์ ทำหลายๆช่องทางผสมกันไป จากนั้นให้วัดผลด้วยว่าวิธีไหนมีประสิทธิภาพสูงสุด ที่จะทำให้ลูกค้าทั้งใหม่และเก่ามีส่วนร่วมไปกับเรามากที่สุด
Key ที่สำคัญของข้อนี้คือ พยายามหาให้ได้ว่าวิธีโปรโมทแบบไหนที่เหมาะสมกับธุรกิจเราที่สุด ดึงดูดลูกค้าเรามากที่สุด
6.ตลาด (Market)
สาเหตุหนึ่งที่ทำให้สินค้าและบริการของธุรกิจหลายๆเจ้า ดึงดูดลูกค้าน้อยลงเรื่อยๆ จนในที่สุดไม่สามารถกลับมาทำธุรกิจได้ดีเหมือนแต่ก่อน เพราะรสนิยมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา เราจึงต้องอัพเดตความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับตลาดให้ทันสมัยอย่างสม่ำเสมอ หมั่นติดตามข่าวสาร สังเกตสถานการณ์ในปัจจุบัน วิธีหนึ่งที่จะช่วยรักษาตลาดของเราได้คือการวางแผนการตลาด เพราะหากล้มเหลวในการวางแผนก็จงเตรียมพร้อมรับpการล้มเหลวที่จะเกิดขึ้น
……………………………………………………………………..