You are currently viewing ปรับตัวยังไงดี เมื่อ Facebook ลดการมองเห็น News feed

ปรับตัวยังไงดี เมื่อ Facebook ลดการมองเห็น News feed

(Photo: Shutterstock)

 

สั่นสะเทือนทั้งแพลตฟอร์ม !    

        “Bring the world closer together” เฟสบุ๊คแสดงจุดยืนว่าต้องการให้ผู้คนติดต่อกันมากขึ้นและกลับมาใกล้ชิดกันมากขึ้นเพื่อให้ช่วงเวลาการใช้งานบน Facebook มีคุณค่ายิ่งขึ้น ส่วนเพจร้านค้าอย่างเราๆย่อมกระเด็นไปตามสภาพ ในเมื่อโดนปรับทั้ง Reach และ Engagement ซึ่งปกติเดิมมีการเข้าถึง Public Post จาก 5% เหลือ 4% นั่นหมายความว่า โพสต์สาธารณะทั้งหมดจากแบรนด์รวมถึงเพจที่ขายของออนไลน์ทั้งหลายนั้นจะถูกลดการมองเห็นลง การแสดงผลบน news feed จะถูกลดการมองเห็นลง แต่จะไปเพิ่มการแสดงผลให้เห็นโพสต์ของเพื่อนและครอบครัวให้มากขึ้น 

        จาก Mission ของ Facebook ที่ต้องการให้ความความสำคัญกับโพสต์ครอบครัว คนรัก เพื่อนฝูง และหลีกเลี่ยงเหล่ากองทัพสื่อโฆษณาที่ประโคมกันมากมาย ยังไม่นับข่าวลวง ข่าวลือ จนทำให้ข่าวที่มีประโยชน์หรือข่าวข้อเท็จจริง (Informative,Authentic) ถูกลดความน่าเชื่อถือลง ถ้าขืนเป็นแบบนี้ต่อไป ในระยะยาว รับรองว่าคนหนีหายจาก Facebook แน่นอน ถึงเวลาที่พี่มาร์คจะลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่างนั่นคือปรับลด Reach ของเพจต่างๆนั่นเอง แล้วแบบนี้ร้านค้าอย่างเราๆจะทำอย่างไรกันดี ? ยอดขายจะลดไหม ? สินค้าเราจะถูกมองเห็นไหม? 

 

รับมืออย่างไรเมื่อพี่มาร์คอยากให้พวกเราเชื่อมโลกเข้าด้วยกัน

 

1.หาหนทางรับมือ ดีกว่านั่งบ่น !

    การทำธุรกิจหรือร้านค้าออนไลน์จะอยู่ยากขึ้นแน่นอน เพราะจำนวนร้านค้ามากขึ้นทุกวันๆ ผู้คนอยากขายของออนไลน์มากขึ้น แต่จำนวน News Feed ของเฟซบุ๊คกลับน้อยลง เราต้องเข้าใจเหตุผลของพี่มาร์คและหาทางออกในการเปลี่ยนแปลงร้านค้าต่อไปดีกว่านั่งพร่ำบ่นเฉยๆ

กด “See first” เพจอาจตั้งแคมเปญเพื่อกระตุ้นลูกเพจให้ติดตาม เป็นการบังคับกลายๆว่าเพจต้องผลิตเนื้อหาที่สร้างสรรค์ต่อโลกพอให้ลูกเพจอยากจะติดตามเรานะ !

ให้ความสำคัญกับ comment  ในเมื่อพี่มาร์คให้ความสำคัญกับการพูดคุย ติดต่อ หากเพจต่างๆต้องการให้ลูกเพจมี Engagement ก็ต้องปรับตัวหันมาผลิตเนื้อหาคุณภาพ ไม่สุ่มสี่สุ่มห้า ดูความต้องการลูกเพจมากขึ้น ดีกว่าลงเนื้อหาแบบตามใจตัวเองและไม่มีประโยชน์ใดๆเลย แบบนี้ลูกเพจหนีหายหมดแน่

การ “Live” เฟซบุ๊คเองยังยอมรับเลยว่าการ live ได้ผลมากกว่า non-live ถึง 6 เท่า อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นให้คนเข้ามาพูดคุย คอมเม้นท์กันมากขึ้น ซึ่งบรรยากาศเพจต้องสนุกขึ้นแน่ๆ

 

2. บริหาร จัดการงบสำหรับการตลาดให้ละเอียด ถี่ถ้วนมากขึ้น

      ในเมื่อพี่มาร์คเล่นลด Reach แบบนี้ ผู้คนจะมองเห็นเพจร้านเราน้อยลง เรามีโอกาสเผชิญกับยอดขายตกแน่นอนและแน่นอนว่าเราต้องอัดฉีดงบประมาณสำหรับโฆษณาร้านค้ามากขึ้น(พี่มาร์คก็รวยขึ้นด้วย) ร้านค้าเองต้องวางแผนอย่างระมัดระวัง จะเอะอะอัดฉีดงบเหมือนเมื่อก่อนนั้นต้องชะงักมือไว้ก่อน

   ดังนั้นการหาเวลาเรียนเพิ่มเกี่ยวกับการยิง Ad ให้ตรงกลุ่มมากขึ้น เพื่อให้เรายิงเป้าหมายอย่างตรงจุด แถมประหยัดงบ แต่ผู้สอนคนไหนดีนั้นสุดแล้วแต่ท่านจะศรัทธาเลย (วิธี Monitorโฆษณาขั้นต้น : เช็คว่าโฆษณาไหนของร้านเราทำงานได้ดี ก็ค่อยอัดฉีบงบ หากตัวไหนดูท่าไม่ดีก็ตัดทิ้งซะ เพื่อประหยัดไว้ก่อน)

 

3. ใช้รูปภาพมากขึ้น ปรับลดตัวอักษรให้น้อยลง

            ปัจจุบันคนไม่ค่อยอ่านตัวหนังสือกันเท่าไร ควรใช้รูปภาพเพื่อเล่าเรื่องราวให้เห็นภาพ จะช่วยเพิ่มความน่าสนใจขึ้น เพราะถ้าตัวอักษรในรูปมากไป จะทำให้ Reach น้อยลง แถมยังอ่านยากซึ่งไม่เหมาะกับคนสมัยนี้ที่ไม่ค่อยอ่านอะไรสักเท่าไรนัก

 

4. สร้างโลกโซเชียลให้น่าอยู่ด้วยการผลิตงานคุณภาพ และสร้างสรรค์

          แม้ว่า Mission ของ Facebook จะเน้นเรื่องเชื่อมโยงคนเข้าหากัน โดยมีเรื่องของธุรกิจเข้ามาเกี่ยวน้อยลงบ้าง แต่ตราบใดที่เฟซบุ๊คเป็นบริษัทอยู่ในหลักทรัพย์ ยังคงต้องแคร์ผู้ถือหุ้นอยู่ (Stakeholders) เฟสบุ๊คยังคงต้องหากำไร หาเงินมาหมุนอยู่ดี  ดังนั้นร้านควรปรับตัวโดย “ผลิตคอนเทนต์แบบสร้างสรรค์ มีประโยชน์ต่อสังคม” จะช่วยเพจเพิ่ม Reach มากสุด เช่น ร้านเราขายอาหาร เลือกผลิตคอนเทนต์เกี่ยวกับเลือกกินอย่างไรให้สุขภาพดี เป็นต้น

 

5.เลี่ยงสร้างคอนเทนต์หลอกล่อให้คนมาติดกับ (Clickbait) หรือโพสต์ล่อ (Engagement Bait)

        เฟซบุ๊กต้องการจัดการยกระดับมาตรการอีกขั้นเพื่อจัดการเพจที่ชอบแชร์ข่าวปลอม หรือข่าวที่ชอบล่อให้คนมามา Clickbait มากขึ้น หรือโพสต์บางประเภทที่ล่อให้คนทำอะไรบางอย่าง เช่น เม้นท์ 99 แล้วจะรวย, กด Share แล้วชีวิตจะรุ่งเรือง, กด Tag เพื่อนหน่อยถ้าคุณคิดว่าเห็นด้วย หรือเร่งให้คนมาคอมเมนต์ใต้ภาพ ทำเพื่อเร่ง Engagement ให้กับโพสต์ของตัวเอง จะได้เห็น Reach มากขึ้น สิ่งเหล่านี้ถือว่าไม่ใช่โพสต์ที่มีคุณภาพเอาเสียเลย เฟสบุ๊คจึงต้องป้องกันไม่ให้เพจเหล่านี้มีการโฆษณาได้ ถือว่าเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้คนเหมือนกันนะ เล่นเฟสได้อย่างสบายตาขึ้น

 

(photo : Contentshifu.com)

6.ช่องทางอื่นยังมีให้ทำกินหน่า

           ในเมื่อเฟสบุ๊คทำแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่หลีกเลียงไม่ได้ นอกจากว่าเราจะสร้างเฟสบุ๊คขึ้นมาอีกอันซะ แต่ยังวิธีง่ายๆอีกวิธีคือ ปรับตัวด้วยการมองหาช่องทางอื่นๆ หรือแพลตฟอร์มอื่นๆแทน เช่น ลงประกาศโปรโมท โฆษณาที่อื่นๆ Instagram, Google adword ,Youtube, Amazon, Lazada ยังมีพื้นที่ออนไลน์อีกมากที่ให้เราได้ลงขายของ

 

7.มีพื้นที่ของตัวเองซะเลย สร้างเว็บไซต์ของตัวเองขึ้นมาซะ

     การที่เฟสบุ๊คปรับอัลกอริทึม ไม่ได้หมายความว่าร้านค้าจะสื่อสารหรือโปรโมทร้านตัวเองกับกลุ่มลูกค้าได้น้อยลง จริงๆยังมีช่องทางหลักอื่นอีกทางนั่นคือ สร้างพื้นที่ของตัวเองขึ้นมาด้วย ”การสร้างเว็บไซต์” แต่เนื้อหาในเว็บไซต์ควรเป็นรูปภาพ วิดิโอ หรือสิ่งพิมพ์ที่เตะตาและดึงดูดลูกค้า มากกว่าใส่ตัวหนังสือเยอะแยะเต็มไปหมด เพราะในชีวิตจริงคงไม่มีใครมานั่งอ่านตัวอักษรของร้านๆหนึ่งได้นานมากนัก เช่น แทนที่จะเขียนวิธีการใช้งานยาวเหยียด ปรับเปลี่ยนเป็นคลิบวิดิโอสาธิต จะช่วยให้อธิบายได้ง่ายขึ้นและใช้เวลาทำความเข้าใจน้อยลง ลูกค้าตัดสินใจง่ายขึ้น
      แต่ถ้าใครเขียนโปรแกรมไม่เป็น อย่าได้ท้อแท้ใจไป เดี่ยวนี้มีเว็บสำเร็จรูปมากมายให้ใช้งาน โดยที่เราไม่จำเป็นต้องมีความรู้เกี่ยวกับซอฟแวร์ใดๆเลย เสียค่าใช้จ่ายนิดหน่อย แต่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ประหยัดเวลาเห็นๆ

 

          ถึงแม้ว่าเฟสบุ๊คจะปรับตัวอย่างไรนั้น แต่ไม่ได้หมายความโลกจะล่มสลาย แล้วสินค้าเราจะไม่เป็นที่รู้จักเสมอไป สถานการณ์นี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดีต่อโลกในวันที่โลกเต็มไปด้วยข่าวสารหลอกลวง คอนเทนท์บิดเบือนข้อเท็จจริงต่างๆ การที่เฟสบุ๊คปรับแบบนี้เท่ากับว่าเมื่อไรก็ตามที่เราเปิดโทรศัพท์ขึ้นมา เราได้ซึมซับคอนเทนต์ที่มีคุณค่า และมีความหมายมากขึ้น ช่วยลดความขุ่นมัวในหัวลง ดังตามที่ James Whatley (แพลนนิ่งพาร์ทเนอร์ของ Ogilvy UK) สรุปสถานการณ์อย่างมองโลกในแง่ดีว่า “ถ้าคุณเป็นผู้ทำคอนเทนท์ที่เผยแพร่เนื้อหาที่คุณภาพและน่าสนใจ มีการกระตุ้นอย่างสม่ำเสมอแล้วล่ะก็ …นี่เป็นยุคทองเลยละ”

 


James Whatley